ประเทศไทยเป็นจุดเชื่อมโยงประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชีย และมีเศรษฐกิจเชื่อมโยงระหว่างประเทศ มีการถ่ายเทสินค้า บริการ ฝีมือแรงงาน และการค้าการลงทุนระหว่างกัน ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประตูสู่อาเซียนและเอเซีย และเป็นประเทศฐานการผลิตและส่งออกที่สำคัญในอุตสาหกรรมหลักของโลก อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนประกอบ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และไอที เป็นต้น
การส่งออกของไทยในเดือน กรกฎาคม 2565 มีมูลค่า 23,629.3 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วขยายตัว 4.3% ส่วนการส่งออกของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัว 11.5% มีมูลค่า 172,814.1 ล้านดอลลาร์ การส่งออกไทยยังคงขยายตัวจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นหลัก ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากราคาสินค้าเกษตรและอาหารที่สูงขึ้นตามปริมาณผลผลิตโลกที่ยังได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย อาทิ การส่งออกธัญพืชได้อย่างจำกัดของยูเครนในช่วงเวลาก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับเซมิคอนดักเตอร์เริ่มได้รับผลกระทบมากขึ้น และผลจากมาตรการล็อกดาวน์เมืองอุตสาหกรรมสำคัญของจีน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการผลิตและการส่งมอบ แต่มีบางกลุ่มสินค้าที่การส่งออกขยายตัวดี โดยเฉพาะสินค้าที่ได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น คาดการณ์ว่าการส่งออกไทยจะมีสัญญาณดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมั่นใจว่าปี 2565 อย่างน้อยการส่งออกไทยจะขยายตัว 6-8% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 5%
เครดิตภาพ : ธนาคารแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว รายงานให้ทราบว่า ช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ของปี 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 323 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 122 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 201 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 73,635 ล้านบาท จ้างงานคนไทยกว่า 3,308 คน ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ อาทิ บริการออกแบบ ก่อสร้าง ติดตั้ง และตรวจสอบระบบกักเก็บพลังงาน สำหรับโครงการโรงผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานสำหรับสนามบินอู่ตะเภา บริการให้ใช้แพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ สำหรับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า และสั่งซื้อสินค้าและบริการ
ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 82 ราย สิงคโปร์ 58 ราย สหรัฐอเมริกา 40 ราย ฮ่องกง 26 รายและ จีน 14 ราย คาดว่าจนถึงปลายปี 2565 จะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมการลงทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ รวมถึง เพิ่มการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
รัฐบาลให้ความสำคัญกับ
2. การเข้าถึงได้สะดวก (Easy Access)
ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการของศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases: ACPHEED)
หลังประเทศไทยรับมือกับสถานการณ์โควิด19 ได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้รับเลือกจากประเทศอาเซียน ให้เป็นที่ตั้งของ สำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียน ด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases: ACPHEED) ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่สำคัญของอาเซียน รวมถึงทีมสาธารณสุขไทยที่สามารถผลักดันให้ประเทศไทยมีบทบาทนำในการจัดตั้ง ACPHEED ได้สำเร็จ สำหรับศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ จะมีภารกิจสำคัญในการเสริมสร้างขีดสมรรถนะของภูมิภาคอาเซียนในการเตรียมความพร้อม การป้องกัน ตรวจจับ และตอบโต้ต่อภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ในสถานะที่เป็นศูนย์ความเป็นเลิศและเป็นศูนย์รวมทรัพยากรบุคคลของภูมิภาค ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย คือ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทยที่ให้การสนับสนุนในการคัดกรองและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค การตรวจรักษา และการควบคุมโรคระบาดในกลุ่มแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน นักท่องเที่ยว นักเดินทางไมซ์ และผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศได้
บรรดาสายการบินสัญชาติไทยเปิดเส้นทางบินและเพิ่มเที่ยวบิน เพื่อเพิ่มยอดผู้โดยสารและรายได้ ต้อนรับบรรยากาศการเดินทางทั้งตลาด “ต่างชาติเที่ยวไทย” และ “ไทยเที่ยวต่างประเทศ” ฟื้นจากสถานการณ์โควิด-19
โปรเจ็กต์ “แลนด์บริดจ์” โดยกระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (แลนด์บริดจ์) ซึ่งจะเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่ และเป็นประตูเศรษฐกิจของโลก เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน โดยไทยจะใช้ต้นแบบท่าเรือ Tuas ของประเทศสิงคโปร์ ที่ตั้งเป้าหมายในการเป็นท่าเทียบเรือตู้สินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถรองรับตู้สินค้าได้ 65 ล้านทีอียู ในระยะ 20 ปี หรือปี 2585 ซึ่งในส่วนของประเทศไทย ถือว่ามีข้อได้เปรียบในการเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค เชื่อมต่อการขนส่งทางน้ำ ตามนโยบายสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และราคาสมเหตุสมผล คาดว่า ในปี 2566 จะเห็นความชัดเจนและเป็นรูปธรรม ส่วนการเริ่มดำเนินการก่อสร้างนั้น จะแล้วเสร็จในปี 2573 โดยแนวทางเบื้องต้น จะเป็นความร่วมมือกับพันธมิตร (Partner) ในต่างประเทศ ที่มีสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อให้คุ้มค่าการลงทุน ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จะเป็นรูปแบบการบริหาร 2 ท่าเรือให้เป็นท่าเรือหนึ่งเดียวกัน (One Port Two Sides) โดยจะดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกัน ถือเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งและเศรษฐกิจใหม่ทางทะเล เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าของภูมิภาค เชื่อมการขนส่งกับเส้นทางมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟ คู่ขนานแนวเส้นทางร่วมกันตามแผนบูรณาการมอเตอร์เวย์เชื่อมต่อแนวเส้นทางรถไฟทางคู่ (MR-MAP) สร้างความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจใน APEC อย่างไร้รอยต่อ
3. การพัฒนาในประเทศไทย (New Development)
รัฐบาลส่งเสริมและผลักดันให้ระบบขนส่งทางรางเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลัก เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อีกทั้งเป็นการรองรับการขยายตัวของเมือง และเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น รวมถึงรองรับการเดินทางของนักเดินทางไมซ์ที่เข้ามาจัดงานในประเทศไทยด้วย รัฐบาลได้เร่งรัดการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด
การก่อสร้างทั้ง 3 โครงการมีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดยโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี มีแผนสำหรับการทดสอบเดินรถเสมือนจริง (Trial Run) ซึ่งจะเริ่มภายในเดือน ตุลาคม 2565 นี้ ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้งสองเส้นทางในปี 2566 ส่วนรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีความคืบหน้าการก่อสร้างงานโยธาอย่างมากแล้วกว่า 95% โดยคาดว่าเร็วที่สุดจะเปิดใช้บริการได้ในปี 2568
เอสซีจี พัฒนานวัตกรรมระบบ “SCG Bi-ion ระบบกำจัดเชื้อโรคในอากาศ” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมาตรฐานอากาศปลอดภัยสำหรับผู้ใช้อาคาร ด้วยการทำงานของระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ มีการปล่อยอนุภาคประจุบวกและลบ ที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศ รวมถึงช่วยลดฝุ่น PM10-PM2.5 ขณะเดียวกันอนุภาคที่เกิดขึ้นเป็นอนุภาคปกติที่มีในธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง ทำให้มั่นใจในคุณภาพอากาศที่สะอาดปลอดภัยยิ่งกว่า
ในปัจจุบัน มีหลายโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนติดตั้ง ระบบ SCG Bi-ion เพื่อร่วมสร้างพื้นที่อากาศปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน ทั้งในโรงพยาบาล ออฟฟิศสำนักงาน โรงแรม โรงเรียน และร้านอาหาร ภายใต้แนวคิดในแคมเปญ #CleanAirMatters เอสซีจีมีความตั้งใจในการกระตุ้นเตือนสังคมต่อเนื่อง ถึงการให้ความสำคัญกับอากาศที่สะอาด ปลอดภัย และคนไทยทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับคุณภาพอากาศที่ดี นวัตกรรมนี้ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยจากสหรัฐอเมริกา Intertek/ETL (UL 867) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการไมซ์ที่ต้องการสร้างความมั่นใจเพิ่มเติมให้กับผู้เข้าใช้บริการ
คณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) ได้จัดตั้งศูนย์เครือข่ายการพัฒนาบุคลากรเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC NETs) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง Demand Driven Education ตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ที่ต้องการผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ 12 S Curve ด้วยการสร้างความร่วมมือกับ 10 สถาบันการศึกษาในระดับอาชีวะและมหาวิทยาลัย ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งการผลิตคนให้ตรงกับความต้องการ หรือ Demand Driven ต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างความร่วมมือแบบเข้มข้นระหว่างสถานศึกษา สถานประกอบการเอกชนและภาครัฐ ในการออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอน ด้วยองค์ความรู้จากสถานประกอบการ ได้ร่วมฝึกงาน เปิดโอกาสและประสบการณ์ทํางานจริง (Work Integrated Learning) และเอกชนร่วมสนับสนุนค่าฝึกอบรม (Co-endorsement and Co-funding) เป็นการร่วมคิด ร่วมทํา ร่วมจ่าย โดยภาคเอกชนสามารถนำค่าฝึกอบรมดังกล่าวไปลดหย่อนภาษีได้ 2.5 เท่า ถือเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่จะกลับมาสร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างมากมาย